เนื้อหางานวิจัย (สงวนลิขสิทธิ์)
เนื้อหางานวิจัยนี้ (สงวนลิขสิทธิ์โดยผู้วิจัย และชมรมการจัดการความขัดแย้งแห่งประเทศไทย)
การจัดการความขัดแย้งทางการเมืองไทย ระหว่าง พ.ศ. 2547-2553
Conflict Management of Political Conflict in Thailand between 2004- 2010
พิชญา สุกใส
Pitchaya Suksai
นักวิจัยอิสระ สาขาวิชาสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์
บทคัดย่อ
การศึกษาเรื่อง “การจัดการความขัดแย้งทางการเมืองไทย ระหว่าง พ.ศ. 2547-2553” เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ ข้อมูลจากการสัมภาษณ์เชิงลึกจากกลุ่มตัวอย่างผู้นำ และผู้มีบทบาทสำคัญทางการเมือง นักวิชาการ และสื่อมวลชน โดยมีวัตถุประสงค์ เพื่อวิเคราะห์สภาพการก่อตัวและพัฒนาการของความขัดแย้งและ เพื่อศึกษาแนวทางการจัดการความขัดแย้งทางการเมืองระหว่างปี พ.ศ. 2547-2553 และวิสัยทัศน์เกี่ยวกับแนวทางการจัดการความขัดแย้งทางการเมืองในอนาคต ผลการวิจัยพบว่า สาเหตุสำคัญของความขัดแย้ง เกิดขึ้นจาก ความต้องการอำนาจและผลประโยชน์ ส่วนประเภทความขัดแย้งพบว่า มีในด้านผลประโยชน์มากที่สุด วิธีการในการจัดการความขัดแย้งที่คิดว่าเหมาะสมในการแก้ปัญหาความขัดแย้งในปัจจุบันนั้นพบว่า ต้องนำวิธีการหลายๆ วิธีมาบูรณาการ ส่วนด้านพฤติกรรมในการจัดการความขัดแย้งที่ผ่านมา คือ การเอาชนะ ส่วนปัญหาในด้านความไว้วางใจในตัวบุคคลส่งผลกระทบมาก และแนวทางในการแก้ไขปัญหาพบว่า นำสันติวิธีมาใช้ โดยยึดหลักของนิติธรรม นิติรัฐ หลักความยุติธรรม ความมีคุณธรรม และจริยธรรม โดยความร่วมมือทั้งภาครัฐและผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทุกๆ ฝ่าย
คำสำคัญ: การจัดการความขัดแย้ง, ความขัดแย้งทางการเมือง
ABSTRACT
The study of “Conflict Management of Political Conflict in Thailand between 2004-2010” is the qualitative research proceeding by gathering information from in-depth interview with the representative group of leaders and political influencers, academicians and media. The objective is to analyze the formation and development of conflict and to study the guideline of how to manage the political conflict between 2004-2010 as well as the vision of how to manage the political conflict in the future. The research has shown that the major causes of conflict included the demand for power and benefits while the study of type of political conflict has reflected the most on benefits. At present, the well-suited methodology in managing Thai’s political conflict needs integration. However, the past behavior of conflict management focused only on overcoming. Furthermore, the problem of trust in individual has become a major impact. Thus, the solution is the use of peace method by adopting rule of
law, rule by law, principle of justice, virtue and morality by cooperation from the government and the relevant parties.
Key Words: conflict management, political conflict
บทนำ
ประเทศไทยได้เกิดภาวะวิกฤตการณ์ทางการเมือง ซึ่งก่อให้เกิดผลกระทบต่อประเทศชาติ และประชาชน พลเมืองไทย เป็นอย่างมาก ทั้งผลกระทบด้านเศรษฐกิจ ด้านสังคม โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในด้านความแตกแยกแบ่งฝ่ายของผู้คนในสังคม จนอาจนับได้ว่า ประเทศไทย ขาดซึ่งความรัก ความสามัคคีในชาติ ทั้งทำให้ภาพลักษณ์ของประเทศไทยในสังคมโลก เป็นประเทศที่ถูกมองว่าไม่มีความปลอดภัยในสวัสดิภาพสำหรับสายตาของชาวโลก และถูกลดลำดับความเชื่อมั่นในด้านความปลอดภัย ความมั่นคงภายในประเทศ ปรากฏการณ์ความขัดแย้งทางการเมือง ซึ่งก่อตัวขึ้นตั้งแต่ พ.ศ. 2547 ในช่วงปลายรัฐบาลของ พันตำรวจโท ดร.ทักษิณ ชินวัตร มีการรวมตัวของกลุ่มคนในนามกลุ่มประชาชนเพื่อชาติและราชบัลลังก์ และพันธมิตรชุมชนและกลุ่มประชาชนเพื่อชาติศาสนาเพื่อขับไล่ พันตำรวจโท ดร.ทักษิณ ชินวัตร ออกจากตำแหน่ง โดยมีการรวมตัวเป็นครั้งแรกใน วันที่ 25 กันยายน พ.ศ. 2547 ความขัดแย้งดังกล่าวขยายวงกว้างขึ้นในช่วงปลาย พ.ศ. 2548 โดยมี นายสนธิ ลิ้มทองกุล และรายการเมืองไทยรายสัปดาห์เป็นผู้เรียกร้องหลักให้ พันตำรวจโท ดร.ทักษิณ ชินวัตร ออกจากตำแหน่ง ในขณะเดียวกันมีกลุ่มประชาชนจากต่างจังหวัดจำนวนมากได้รวมตัวกันเพื่อสนับสนุน พันตำรวจโท ดร.ทักษิณ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรีต่อไป
วิกฤตการณ์การเมืองในประเทศไทย พ.ศ. 2547-2553 คือ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยมีสาเหตุที่เริ่มต้นมาจากหลายฝ่าย ซึ่งมีความเห็นว่า พันตำรวจโท ดร.ทักษิณ ชินวัตร ควรลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ในขณะที่คนจำนวนมากอีกกลุ่มกลับให้ความสนับสนุน พันตำรวจโท ดร.ทักษิณ ชินวัตร และพันธมิตรอย่างล้นหลามด้วยความเชื่อมั่นว่า พันตำรวจโท ดร.ทักษิณ ชินวัตร คือตัวแทนระบบทางการเมืองที่พึงปรารถนา จากวิกฤตการณ์ดังกล่าวได้นำไปสู่เหตุการณ์รัฐประหาร พ.ศ. 2549 และนับวันจะทวีความรุนแรงขึ้นด้วยรูปแบบและวิธีการต่างๆ อย่างหลากหลายก่อให้เกิดผลเสียต่อประเทศชาติในหลายๆ ด้านอย่างคาดไม่ถึง สถานการณ์ความขัดแย้งของมวลชนกลุ่มต่างๆ ด้วยกัน หรือความขัดแย้งที่เกิดกับฝ่ายรัฐบาลมักจะต้องมีนักการเมือง หรือกลุ่มทางการเมืองเป็นผู้ให้การสนับสนุน หรือเป็นผู้นำมวลชนไปสู่ความขัดแย้ง htpp://www.oknation.net/ทำให้วิกฤตการณ์ยังคงดำเนินมาจนถึง พ.ศ.2553 ในการบริหารประเทศรัฐบาลของ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ
พระไพศาล วิสาโล (2552) ได้กล่าวไว้ว่า ความขัดแย้งทางการเมืองระหว่างคนต่างสีที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ มิใช่เป็นเพียงความขัดแย้งระหว่างบุคคล และดูจะมีนัยสำคัญมากกว่าการต่อสู้ระหว่าง พันตำรวจโท ดร.ทักษิณ ชินวัตร และพวก กับฝ่ายตรงข้ามเท่านั้น หากความขัดแย้งดังกล่าว เป็นเรื่องของการช่วงชิงผลประโยชน์ระหว่างชนชั้นนำทางการเมืองเท่านั้น ย่อมมิอาจขยายวงไปอย่างกว้างขวางทั่วประเทศได้เลย การที่ผู้คนระดับรากหญ้าจำนวนนับแสน ถือตัวเองว่าเป็นพวกเดียวกันกับกลุ่มของ พันตำรวจโท ดร.ทักษิณ ชินวัตร และกล้าท้าทายอำนาจรัฐ ย่อมมิใช่เพราะอำนาจเงินของ พันตำรวจโท ดร.ทักษิณ ชินวัตร เท่านั้น หากยังเป็นการแสดงออกของประชาชนจำนวนมากที่ไม่พึงพอใจกับสภาพเศรษฐกิจการเมืองที่เป็นอยู่และเชื่อว่า พันตำรวจโท ดร.ทักษิณ ชินวัตร เป็นตัวแทนของระบอบการเมืองที่พึงปรารถนาของพวกเขา ไม่ผิดหากจะกล่าวว่านี่เป็นความขัดแย้งระหว่างอุดมการณ์ต่างสี ที่มองเห็นระบอบการเมืองที่พึงปรารถนาแตกต่างกัน โดยเฉพาะนิยามของประชาธิปไตยและความสัมพันธ์ทางอำนาจระหว่างสถาบัน และกลุ่มชนต่างๆ และสาเหตุสำคัญประการหนึ่ง ที่ทำให้ผู้คนทั้งประเทศมองเป้าหมายทางการเมืองแตกต่างกันเป็นสองฝ่ายอย่างชัดเจนก็คือ ความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจและสังคมระหว่างคนในชาติ จะเห็นได้ว่าการต่อสู้ทางการเมืองระยะนี้ แม้ว่าด้านหนึ่งจะเป็นการต่อสู้เพื่อช่วงชิงอำนาจและผลประโยชน์ทางการเมือง แต่ไม่อาจปฏิเสธได้ว่ามีการต่อสู้ในเชิงอุดมการณ์ทางการเมืองด้วยเช่นเดียวกัน ทั้งนี้ พิชาย รัตนดิลก ณ ภูเก็ต (2552) ได้กล่าวว่า ความขัดแย้งทางการเมืองครั้งนี้เกี่ยวพันอย่างแยกไม่ออกกับการต่อสู้ระหว่าง 5 อุดมการณ์ทางการเมืองหลักในสังคมไทยและกลุ่มที่สนับสนุนอุดมการณ์ทางการเมืองนั้นๆ ได้แก่
1. อนุรักษ์นิยมใหม่ (Neo-Conservative) มีความเชื่อว่า โลกาภิวัฒน์นำมาซึ่งความมั่งคั่ง กำแพงภาษีระหว่างประเทศควรถูกกำจัด เปิดโอกาสให้ทุนไหลเวียนอย่างเสรี และหลักคิดการบริหารธุรกิจภาคเอกชนเท่านั้นที่มีประสิทธิภาพ กลุ่มการเมืองที่มีอุดมการณ์แบบนี้คือกลุ่มทุนใหม่ซึ่งมีทุนโทรคมนาคมเป็นแกนนำ พรรคการเมืองที่กลุ่มผู้บริหารพรรคมีอุดมการณ์นี้คือ อดีตพรรคไทยรักไทย ซึ่งกลายสภาพเป็นพรรคพลังประชาชนในเดือน สิงหาคม พ.ศ. 2550 อย่างไรก็ตามบุคคลที่มีอุดมการณ์เช่นนี้แทรกซึมอยู่แทบทุกพรรคการเมือง แม้ว่าจะมีระดับความมากน้อยและความเข้มข้นในเชิงอุดมการณ์แตกต่างกันบ้าง
2. อุดมการณ์อุปถัมภ์นิยม (Clientelism) เป็นอุดมการณ์หลักที่ครอบงำสังคมการเมืองไทยมาอย่างยาวนาน ในระยะหลังความเข้มข้นของอุดมการณ์นี้ลดลงในกลุ่มชนชั้นกลาง แต่ยังคงมีความเข้มข้นในกลุ่มชนชั้นชาวบ้าน และชนชั้นนำทางการเมือง ทั้งระดับชาติและท้องถิ่น อาศัยอุดมการณ์อุปถัมภ์เป็นกลไกในการสร้างเครือข่ายหัวคะแนน และจัดตั้งมวลชนในชนบทให ้มาสนับสนุนตนเอง เมื่อเกิดกรณีการต่อสู้ทางการเมืองทั้งในเรื่องการเลือกตั้ง และการชุมนุมประท้วง อุดมการณ์นี้แทรกซึมอยู่ทุกพรรคการเมือง ทั้งพรรคใหญ่บ้าง พรรคเล็กบ้าง แต่จะมีมากในพรรคที่ถูกจัดตั้งโดยกลุ่มอดีต ส.ส.ภาคเหนือ และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
3. อุดมการณ์อนุรักษ์นิยมดั้งเดิม (Traditional Conservative) เชื่อในเรื่อง การรักษาสถานภาพเดิมของสังคม เชิดชูความมั่นคงสถาบันหลักของสังคม กลุ่มที่ดำรงอุดมการณ์แบบนี้คือ กลุ่มทุนเก่า เช่น ทุนการเงิน และอุตสาหกรรมหนักบางประเภท กลุ่มข้าราชการส่วนใหญ่ บางครั้งกลุ่มนี้ได้รับการเรียกว่า เป็นกลุ่มอำมาตยาธิปไตย กลุ่มนี้มีบทบาทในการกำหนดนโยบายชี้นำสังคมไทยมายาวนาน แต่บทบาทเริ่มลดลงเมื่อมีการปฏิรูปการเมืองใน พ.ศ. 2540 และในเวลาต่อมาได้ถูกสั่นคลอนอย่างหนักจากระบอบทักษิณ ซึ่งนำพาอุดมการณ์อนุรักษ์นิยมใหม่เข้ามาจัดการภายในระบบราชการ พรรคการเมืองที่มีแนวโน้มยึดถือในอุดมการณ์นี้คือ พรรคชาติไทย และพรรคประชาราช เป็นต้น
4. อุดมการณ์เสรีนิยมประชาธิปไตย (Liberal Democracy) มีความเชื่อพื้นฐานว่า เสรีภาพ และความเป็นปัจเจกบุคคลเป็นสิ่งที่มีคุณค่าของมนุษย์ กลุ่มที่มีแนวคิดเช่นนี้คือกลุ่มชนชั้นกลางซึ่งประกอบด้วยพ่อค้า นักธุรกิจรายย่อย ข้าราชการ พนักงานรัฐวิสาหกิจระดับกลาง พนักงานเอกชนระดับกลาง และผู้ประกอบอาชีพอิสระทั้งหลาย กลุ่มนี้เป็นกลุ่มที่มีการเติบโตเพิ่มมากขึ้นภายหลัง พ.ศ. 2540 และขยายตัวจนกลายเป็นพลังในการต่อต้านระบอบทักษิณ พรรคการเมืองที่อาจถือได้ว่าเป็นตัวแทนของกลุ่มอุดมการณ์นี้ คือพรรคประชาธิปัตย์
5. อุดมการณ์การประชาสังคมประชาธิปไตย (Civil Society Democracy) มีความเชื่อว่า การมีส่วนร่วมทางการเมืองของประชาชนในทุกระดับเป็นสิ่งที่มีคุณค่าสำหรับสังคม กลุ่มที่นำอุดมการณ์นี้ไปปฏิบัติการทางการเมืองคือ กลุ่มองค์การพัฒนาเอกชน นักวิชาการ และนักการเมืองบางกลุ่ม กลุ่มนี้มีความมุ่งหมายที่จะผลักดันให้สังคมเป็นสังคมแห่งการมีส่วนร่วม โดยให้ประชาชนสามารถเข้าไปมีส่วนร่วมในการกำหนดนโยบายทางเศรษฐกิจ สังคม การเมือง และสิ่งแวดล้อม ทั้งในระดับท้องถิ่น และระดับชาติ รวมทั้งส่งเสริมให้ประชาชนพึ่งตนเอง และสามารถบริหารจัดการชุมชนด้วยตนเองได้ ปัจจุบันยังไม่มีพรรคการเมืองใดที่ใช้อุดมการณ์นี้ไปปฏิบัติการทางการเมือง
ทั้งนี้ เกษียร เตชะพีระ (2552) ได้ให้ข้อสังเกตเกี่ยวกับการเมืองไทยในรอบหลายปีที่ผ่านมาว่า สังคมควรต้องให้ความสนใจยิ่งต่อความขัดแย้งแบ่งขั้วในสังคมไทยว่าในที่สุด จะนำไปสู่สถานการณ์รุนแรงถึงขั้นสูญเสียเลือดเนื้อและชีวิตหรือไม่ ความขัดแย้งทางการเมืองที่ผ่านมา ได้ทำให้ประชาชนแตกแยกออกเป็นสองกลุ่มใหญ่ๆ คือ กลุ่มที่ศรัทธาในตัวคุณทักษิณ ชินวัตร อดีตหัวหน้าพรรคไทยรักไทย จากนโยบายประชานิยมของรัฐบาลทักษิณ และกลุ่มที่เห็นว่าคุณทักษิณเป็นภัยต่อประเทศชาติ จากการใช้อำนาจที่เกินขอบเขต และข้อกล่าวหาในเรื่องการทุจริตคอร์รัปชั่น นำโดยกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย จนนำไปสู่การเดินขบวนประท้วงรัฐบาลทักษิณหลายครั้ง และจบลงด้วยการรัฐประหารเมื่อวันที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2549 ด้วยเหตุผลสำคัญคือ ป้องกันไม่ให้ความแตกแยกขัดแย้งรุนแรง จนนำไปสู่การนองเลือดในการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในเดือน ธันวาคม พ.ศ. 2550 พรรคพลังประชาชน หรือพรรคไทยรักไทยเดิม ก็ได้รับคะแนนเสียงอย่างท่วมท้น และเมื่อมีการจัดตั้งรัฐบาลภายใต้การนำของ นายสมัคร สุนทรเวช ประชาชนทั่วไปก็เชื่อว่าความขัดแย้งที่ทุกฝ่ายเคยมีจะหาทางสมานฉันท์กันได้ ด้วยปัญหาเศรษฐกิจที่รุมเร้า น่าจะทำให้ทุกฝ่ายละทิ้งความขัดแย้งทางการเมือง หันหน้ามาแก้ปัญหาเศรษฐกิจก่อนเพื่อความอยู่รอดของประเทศชาติ ดูเหมือนว่าทั้งสองฝ่ายจะพักรบ คุมเชิงกันชั่วคราว แต่เพียงไม่กี่เดือนรอยร้าวก็เริ่มปรากฏให้เห็น เมื่อผู้นำรัฐบาลใช้ท่าทีแข็งกร้าวกับฝ่ายที่ไม่เห็นด้วยกับตน มีการยึดกุมสื่อไว้ในมือ ย้ายข้าราชการชั้นสูงหลายตำแหน่ง และโดยเฉพาะเมื่อพรรคพลังประชาชนประกาศว่าจะเดินหน้าแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับปี 2550 ก็ได้กลายเป็นชนวนและตัวเร่งปฏิกิริยาให้การเผชิญหน้าของทั้งสองฝ่ายรุนแรงขึ้น ต่างฝ่ายต่างแสดงความไม่เห็นด้วยกับอีกฝ่ายผ่านสื่อต่างๆ โดยตั้งอยู่บนอคติโกรธเกลียดมากกว่าเหตุผล จนส่อเค้าว่าสถานการณ์อาจจะนำไปสู่ความรุนแรงอีกครั้งหนึ่ง แม้แต่ผู้หลักผู้ใหญ่ของบ้านเมืองที่เคยออกมาเตือนสติสังคมไทยในเวลานี้ก็ไม่มีใครยอมฟังอีกต่อไป สังคมไทยแบ่งฝักแบ่งฝ่ายอย่างชัดเจน
อย่างไรก็ดี ท่ามกลางความแตกแยก และแบ่งกลุ่มอย่างรุนแรงดังกล่าว ก็ปรากฏว่ายังมีคนจำนวนไม่น้อยอีกกลุ่มหนึ่งที่เรียกร้องให้คนในสังคมใช้การเจรา หรือวิถีสันติภาพอื่นๆ ค่อยๆ แก้ไขความขัดแย้งระหว่างกัน อาทิ คณะกรรมการประสานงานองค์กรพัฒนาเอกชน (กป.อพช.)ได้มีการแถลงการณ์เรื่อง ขอให้ทุกฝ่ายแก้ไขความขัดแย้งทางการเมืองด้วยวิถีทางประชาธิปไตย และให้ทุกฝ่ายยุติการใช้ความรุนแรง ซึ่งการยึดอำนาจอาจแก้ได้เพียงปัญหาเฉพาะหน้าแต่ไม่สามารถพัฒนาประชาธิปไตย ประชาธิปไตยต้องพัฒนาโดยวิถีทางประชาธิปไตย ความเป็นประชาธิปไตยต้องเกิดจากรากเหง้าของความเป็นชาติ มีความรักความหวงแหนสิทธิเสรีภาพ รู้จักหน้าที่ และยอมรับความแตกต่างหลากหลายของวัฒนธรรม การปลูกฝังบ่มเพาะประชาธิปไตยจึงต้องใช้เวลา ใช้การเรียนรู้ และรู้จักประยุกต์ในวิถีชีวิตประจำวัน (มนตรี แสนสุข, 2550) ส่วนการจัดการกับความขัดแย้งว่า สังคมต้องมีกรอบที่เป็นบรรทัดฐานร่วม หากต่างฝ่ายต่างเลือกกระทำสุดแท้แต่อารมณ์จะนำทาง ความขัดแย้งย่อมหาจุดลงตัวไม่ได้ การจัดการความขัดแย้งนี้อาศัยความคิดเห็นที่ตรงกันก่อนเป็นสำคัญ หากสมาชิกสังคมเข้าใจถูกต้องตรงตามกัน ย่อมจัดการความขัดแย้งให้ถูกทางไม่ยากนัก และความขัดแย้งมิอาจมองจากปัจจัยภายนอก เป็นต้นว่า การแย่งชิงอำนาจทางการเมือง การจัดสรร กระจายผลประโยชน์ไม่ลงตัวเพียงด้านเดียว แต่จะต้องลงลึกไปยังจิตวิญญาณมวลชน (จิตวิทยา) อันเป็นมูลเหตุจากภายในของคู่ขัดแย้งเหล่านั้น รากเหง้าของความชั่วร้าย คือ โลภ โทสะ โมหะ ที่ตกตะกอนในจิตใจมนุษย์เราอันเป็นต้นตอและภูมิหลังแห่งความขัดแย้ง มีผลต่อความสัมพันธ์ของคู่ขัดแย้ง โดยแสดงออกเป็นความคิดและการกระทำ ชมพู โกติรัมย์ (2552)
เมื่อพิจารณาความขัดแย้ง และการแบ่งฝ่ายของคนในสังคมที่ไม่เคยมีมาก่อนในห้วงเวลาที่ผ่านมา และดูจะยังไม่มีทีท่าว่าจะดีขึ้น และส่งผลกระทบร้ายแรงต่อประเทศในด้านต่างๆ ในวงกว้างระหว่างกลุ่มตัวแสดงหลักๆ งานวิจัยเรื่องนี้จึงเกิดขึ้น เพื่อวิเคราะห์ความขัดแย้งทางการเมือง ในช่วงปี พ.ศ. 2547-2553 รวมทั้งเสนอทางออกเพื่อยุติความขัดแย้ง เพื่อนำไปสู่การสร้างสังคมแห่งสันติสุข ทั้งนี้โดยผู้วิจัยจะทำการศึกษาในประเด็นของสาเหตุ วิธีการ และรูปแบบ ของความขัดแย้งที่นำมาใช้ในการจัดการความขัดแย้ง โดยมีความเหมาะสมกับสถานการณ์ที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน ทั้งนี้โดยคาดว่าประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับคือผลที่ได้จากการศึกษาจะนำมาสู่การสั่งสมความรู้เชิงวิชาการเพิ่มขึ้นในด้านการก่อตัวและพัฒนาการการจัดการความขัดแย้งทางการเมือง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในบริบทของประเทศไทย รวมถึงความรู้ที่ได้จะสามารถใช้เป็นแนวทางการจัดการความขัดแย้งทางการเมือง เพื่อสังคมไทยไปสู่เป้าหมายการเป็นสังคมสันติสุขอย่างมีประสิทธิภาพต่อไป
ทฤษฎีสำคัญที่นำมาใช้ในการวิจัย ได้แก่ วงกลมความขัดแย้งของ Christopher Moore
และทฤษฏีพฤติกรรมการจัดการความขัดแย้งของ Thomas Kenneth
ที่มา: วันชัย วัฒนศัพท์ (2550)
ประเภทของความขัดแย้งตามแนวทางของ Moore ว่าสามารถแบ่งออกเป็น 5 ชนิด ได้แก่ (วันชัย วัฒนศัพท์ ,2550)
1. ความขัดแย้งด้านข้อมูล (Data Conflict)
2. ความขัดแย้งจากผลประโยชน์ (Interests Conflict)
3. ความขัดแย้งด้านโครงสร้าง (Structural Conflict)
4. ความขัดแย้งด้านความสัมพันธ์ (Relationship Conflict)
5. ความขัดแย้งด้านค่านิยม (Values Conflict)
สำนักระงับข้อพิพาท (2550) กล่าวถึงวิธีการจัดการกับความขัดแย้ง ไว้ดังนี้ คือ
1. การหลีกเลี่ยง หรือหนีปัญหา (Avoidance)
2. การเจรจาต่อรอง (Negotiation)
3. การไกล่เกลี่ยข้อพิพาท ( Mediation)
4. อนุญาโตตุลาการ (Arbitration)
5. การฟ้องร้อง (Litigation)
6. การเผชิญหน้าและประท้วงอย่างสันติ (Non-Violence Confrontation)
7. การใช้บังคับ (Forcing)
วอร์เชล (Worechel, 1979) ได้กล่าวถึงมุมมองของความไว้วางใจ ไว้ดังนี้
1. เป็นมุมมองของทฤษฎีที่ดูเรื่องบุคลิกภาพ ซึ่งพุ่งเป้าหมายไปที่บุคลิกลักษณะส่วนบุคคลที่แตกต่างกันในความพร้อมที่จะไว้วางใจ และปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อมด้านสังคม ที่นำไปสู่ความพร้อม
2. เป็นมุมมองของนักสังคมวิทยาและนักเศรษฐศาสตร์ ซึ่งพุ่งประเด็นไปที่ความไว้วางใจในลักษณะของปรากฏการณ์ของสถาบัน
3. เป็นมุมมองของนักจิตวิทยาสังคม ซึ่งพุ่งความสนใจไปสู่การติดต่อหรือการดำเนินการระดับบุคคลระหว่างปัจเจกที่อาจสร้าง หรือทำลายความไว้วางใจในทั้งระดับระหว่างบุคคล และระหว่างกลุ่ม
ทฤษฏีของ Thomas Kenneth ที่ได้จำแนกพฤติกรรมของบุคคลที่แสดงออกเมื่อเผชิญกับความขัดแย้ง ( เสริมศักดิ์ วิศาลาภรณ์ ,2540)
1. การเอาชนะ (Competition)
2. การร่วมมือ (Collaboration)
3. การประนีประนอม (Compromising)
4. การหลีกเลี่ยง (Avoiding)
5. การยอมให้ (Accommodation)
ระเบียบวิธีวิจัย
การวิจัยเรื่อง “การจัดการความขัดแย้งทางการเมืองไทย ระหว่าง พ.ศ. 2547-2553”
การศึกษาครั้งนี้เป็นการศึกษาวิจัยเชิงคุณภาพ ทั้งนี้การวิจัยเชิงคุณภาพเป็นการวิจัยที่เกิดขึ้นในสถานการณ์ที่เป็นธรรมชาติ เพื่อเข้าถึงความหมายในบริบทที่ศึกษา โดยใช้ตัวผู้วิจัยเองเป็นเครื่องมือสำคัญในการเก็บข้อมูล (ชาย โพธิสิตา, 2550) เพื่อดูว่าข้อมูลเชิงประจักษ์ที่ได้จากการศึกษา สอดคล้องกับข้อมูลเชิงทฤษฎีเพียงใด และเพื่อให้ได้ข้อมูลเชิงลึกและครอบคลุม เพื่อนำไปสู่ข้อสรุปที่มีความถูกต้องชัดเจนมากยิ่งขึ้น (อาริชย์ ทัศน์พันธุ์, 2550) นอกจากนี้ ผู้วิจัยได้ศึกษาค้นคว้าข้อมูลจากเอกสาร และได้มีการนำมาวิเคราะห์ ซึ่งมีขั้นตอนในการดำเนินการศึกษาวิจัยดังนี้
1. การค้นคว้าจากเอกสารโดยศึกษาในหัวข้อ เหตุการณ์ความขัดแย้งทางการเมืองในช่วง พ .ศ. 2547-2553
2. การสัมภาษณ์เชิงลึกกับผู้นำทางการเมือง และผู้ที่มีบทบาทสำคัญทางการเมือง กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษาครั้งนี้ เป็นผู้นำทางการเมือง และผู้ที่มีบทบาทสำคัญทางการเมือง นอกจากนี้ยังมีกลุ่มนักวิชาการ กลุ่มผู้มีประสบการณ์ทางการเมือง และ สื่อมวลชน
วิธีการเก็บข้อมูล ผู้วิจัยเป็นผู้เก็บรวบรวมข้อมูลด้วยตนเองโดยเข้าพบผู้สัมภาษณ์ ได้บันทึกเทประหว่างการสัมภาษณ์และถ่ายภาพประกอบการสัมภาษณ์
ขอบเขตการวิจัย ในการศึกษาการจัดการความขัดแย้งทางการเมืองไทย ระหว่างปี พ.ศ. 2547-2553
ได้ศึกษาในขอบเขตดังต่อไปนี้คือ ศึกษาเกี่ยวกับสภาพปัญหา และแนวทางการจัดการความขัดแย้งทางการเมืองไทย ตั้งแต่ พ.ศ. 2547-2553
ระยะเวลาที่ใช้ในการวิจัย ตั้งแต่ กรกฎาคม พ.ศ. 2552 ถึง ธันวาคม พ.ศ. 2553 รวมระยะเวลา 1 ปี 6 เดือน
คำถามในการวิจัย
1. ความขัดแย้งทางการเมืองที่เกิดขึ้นมีสาเหตุสำคัญจากประเด็นใด
2. ความขัดแย้งทางการเมืองที่เกิดขึ้นมีในด้านใดมากที่สุด ( ด้านข้อมูล ด้านผลประโยชน์
ด้านโครงสร้าง ด้านความสัมพันธ์ ด้านค่านิยม )
3. วิธีการในการจัดการความขัดแย้งที่คิดว่าเหมาะสมในการแก้ปัญหาความขัดแย้งของการเมืองไทยในปัจจุบัน
การหลีกเลี่ยง หรือหนีปัญหา (Avoidance) การเจรจาต่อรอง (Negotiation) การไกล่เกลี่ยข้อพิพาท ( Mediation)อนุญาโตตุลาการ (Arbitration) การฟ้องร้อง (Litigation) การเผชิญหน้าและประท้วงอย่างสันติ (Non-Violence Confrontation) การใช้บังคับ (Forcing)
4. พฤติกรรมในการจัดการความขัดแย้งที่ผ่านมา มีลักษณะเป็นอย่างไร ( การเอาชนะ การร่วมมือ การประนีประนอม การหลีกเลี่ยง การยอมให้ ) และส่งผลกระทบอย่างไร
5. ปัญหาในด้านการไว้วางใจในตัวบุคคล ส่งผลกระทบมากน้อยอย่างไร
6. แนวทางในการแก้ไขปัญหาที่สามารถแก้ไขปัญหาความขัดแย้งทางการเมืองไทยเพื่อให้เกิดสันติภาพอย่างยั่งยืน
ผลการวิจัยและข้อวิจารณ์
จากการศึกษาเรื่อง “การจัดการความขัดแย้งทางการเมืองไทย ระหว่าง พ.ศ. 2547-2553” ผลการวิจัยพบว่า
1. สาเหตุสำคัญของความขัดแย้งทางการเมืองไทยที่เกิดขึ้นในระหว่าง พ.ศ. 2547-2553 เกิดขึ้นจากการต้องการอำนาจทางการเมืองเพื่อให้ได้มาซึ่งผลประโยชน์ของตนโดยเกี่ยวข้องกับเรื่องคอร์รัปชั่นของนักการเมือง แล้วได้ขยายไปสู่ประเด็นทางการเมืองภาคประชาชนที่ทำให้เกิดความขัดแย้งอย่างรุนแรงในสังคม โดยแยกเป็นประเด็นที่สำคัญดังนี้
1.1.ความขัดแย้งทางการเมืองที่เกิดขึ้นมาจากสาเหตุของความต้องการอำนาจทางการเมือง
1.2.ความขัดแย้งทางการเมืองที่เกิดขึ้นมาจากสาเหตุจากของการเข้าสู่อำนาจทางการเมืองของฝ่ายการเมืองต่างๆ
1.3.ความขัดแย้งทางการเมืองที่เกิดขึ้นมาจากสาเหตุของความต้องการผลประโยชน์
1.4.ความขัดแย้งทางการเมืองที่เกิดขึ้นมาจากสาเหตุของการคอร์รัปชั่น
1.5.ความขัดแย้งทางการเมืองที่เกิดขึ้นมาจากสาเหตุของความไม่เท่าเทียมกันในสังคม
1.6.ความขัดแย้งทางการเมืองที่เกิดขึ้นมาจากสาเหตุของการรับรู้ข่าวสารที่ไม่ตรงกัน ของประชาชน
1.7.ความขัดแย้งทางการเมืองที่เกิดขึ้นมาจากสาเหตุของการบริหารรัฐ
1.8.ความขัดแย้งทางการเมืองที่เกิดขึ้นมาจากสาเหตุของการทำรัฐประหาร เมื่อวันที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2549
1.9.ความขัดแย้งทางการเมืองที่เกิดขึ้นมาจากสาเหตุของการนำสถาบันพระมหากษัตริย์เข้ามาเกี่ยวข้องทางการเมือง
1.10. ความขัดแย้งทางการเมืองที่เกิดขึ้นมาจากสาเหตุของปัญหาระหว่างประเทศไทยกับกัมพูชา เรื่องประสาทเขาพระวิหาร นำมาเป็นประเด็นความขัดแย้งทางการเมืองภายในประเทศ
โดยทั้ง 10 ข้อที่กล่าวมาข้างต้น ส่วนใหญ่นั้น เป็นสาเหตุของปัญหาที่เกิดขึ้นมาแล้วตั้งแต่ประเทศไทยเริ่มต้นการนำระบอบประชาธิปไตยมาใช้ในการปกครองประเทศ ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2475 เริ่มจากความขัดแย้งที่เกิดขึ้นมาจากสาเหตุของความต้องการอำนาจทางการเมืองในข้อ 1.1. นำไปสู่ ข้อ 1.2. ความขัดแย้งที่เกิดขึ้นมาจากสาเหตุจากของการเข้าสู่อำนาจทางการเมืองของฝ่ายการเมืองต่างๆ เนื่องจากการเข้าสู่อำนาจเป็นขั้นตอนแรกที่มีความสำคัญ ในการที่จะทำให้ผู้หนึ่งผู้ใดก้าวขึ้นสู่อำนจทางการเมือง
หลังจากการเข้าสู่อำนาจทางการเมืองได้แล้ว ก็นำไปสู่เรื่องของผลประโยชน์ ดังในข้อ1.3. ที่พบว่าความขัดแย้งทางการเมืองที่เกิดขึ้นมาจากสาเหตุของความต้องการผลประโยชน์ โดยผลประโยชน์ส่วนใหญ่มักได้มาจากการคอร์รัปชั่น จึงทำให้ความขัดแย้งทางการเมืองที่เกิดขึ้นมาจากสาเหตุของการคอร์รัปชั่นในข้อ 1.4. เป็นประเด็นที่มีการกล่าวถึงเป็นอย่างมากในทุกๆ รัฐบาล
นอกจากนี้ในข้อที่ 1.5. ที่กล่าวถึงความขัดแย้งทางการเมืองที่เกิดขึ้นมาจากสาเหตุของความไม่เท่าเทียมกันในสังคม ในหลายๆด้าน ซึ่งทั้งในด้านของเศษฐกิจ ด้านอำนาจ ด้านการศึกษา และโดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านการเข้าถึงข้อมูล ซึ่งปัจจุบันเป็นยุคของข้อมูลข่าวสาร เมื่อประชาชนรับรู้ข้อมูลที่หลากหลาย ก็ย่อมทำให้เกิดแนวความคิดเห็นที่แตกต่างโดยเฉพาะทางการเมือง อันเป็นประเด็นสำคัญประเด็นหนึ่งซึ่งอาจนำไปสู่ความขัดแย้งทางการเมืองที่เกิดขึ้นมาจากสาเหตุของการรับรู้ข่าวสารที่ไม่ตรงกันของประชาชน ดังในข้อที่ 1.6.
นอกจากนี้ไม่ว่าจะเป็นประเด็นที่มีความเกี่ยวเนื่องกัน เช่น ประเด็นของการทำรัฐประหารโดยทหารนั้น นับได้ว่าเป็นประเด็นที่ทำให้เกิดความรุนแรงขึ้นในหลายยุคหลายสมัย เมื่อเปรียบเทียบกับเหตุการณ์ความขัดแย้งทางการเมืองในระหว่าง พ.ศ. 2547-2553 นั้น จะเห็นได้ว่า ในข้อ 1.8. ที่กล่าวถึงความขัดแย้งทางการเมืองที่เกิดขึ้นมาจากสาเหตุการทำรัฐประหาร เมื่อวันที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2549 มีความเกี่ยวเนื่องมาจากประเด็นสำคัญ ในข้อที่ 1.7. คือ ความขัดแย้งทางการเมืองที่เกิดขึ้นมาจากสาเหตุการบริหารรัฐ และข้อ 1.9. คือ ความขัดแย้งทางการเมืองที่เกิดขึ้นจากสาเหตุการนำสถาบันพระมหากษัตริย์เข้ามาเกี่ยวข้องทางการเมือง ซึ่งทำให้เกิดความขัดแย้งของประชาชน โดยได้แยกออกเป็นหลายฝ่าย จนเกิดความขัดแย้งลุกลามขึ้น จนกระทั่งถูกมองว่า ความขัดแย้งทางการเมืองในครั้งนี้ เรียกได้ว่า เข้าสู่ขั้นวิกฤติ
2. รูปแบบความขัดแย้งทางการเมืองที่เกิดขึ้น พบว่ามีในด้านผลประโยชน์มากที่สุด จากทั้ง 5 รูปแบบ คือ ความขัดแย้งด้านข้อมูล (Data Conflict) ความขัดแย้งด้านผลประโยชน์ (Interest Conflict) ความขัดแย้งด้านโครงสร้าง (Structural Conflict) ความขัดแย้งด้านความสัมพันธ์ (Relationship Conflict) ความขัดแย้งด้านค่านิยม (Values Conflict) จาก ทั้ง 5 รูปแบบ โดยส่งผลมาจากความขัดแย้งด้านโครงสร้างทางสังคมที่มีความแตกต่างกัน ระหว่างกลุ่มที่เป็นผู้ที่ใช้แรงงาน กลุ่มชนชั้นกลาง และ กลุ่มชนชั้นสูง และในส่วนของด้านค่านิยม ก็เป็นอีกประเด็นหนึ่งซึ่งแต่ละกลุ่มนำมาเป็นชนวนทำให้เกิดความรุนแรงคือ ประเด็นเรื่องสถาบันพระมหากษัตริย์ ส่วนความขัดแย้งในด้านอื่นๆ ก็เป็นรูปแบบของความขัดแย้งที่น้อยกว่าด้านผลประโยชน์และด้านโครงสร้างคือความขัดแย้งในด้านข้อมูลและด้านความสัมพันธ์ ซึ่งใน ทฤษฎีของ Moore
นั้นความขัดแย้งด้านผลประโยชน์ สามารถแก้ไขได้หากมีการจัดสรรผลประโยชน์ได้อย่างลงตัว แต่ในกรณีนี้ ความขัดแย้งมีรูปแบบซับซ้อนหลายมิติ ไม่ไช่เพียงด้านใดด้านหนึ่ง ทั้งนี้โดยเฉพาะความขัดแย้งในด้านโครงสร้างทางสังคมและความขัดแย้งทางค่านิยมนั้น จะดำเนินการจัดการความขัดแย้งได้ยาก แต่ความขัดแย้งส่วนใหญ่เป็นไปในรูปแบบ ด้านผลประโยชน์ ซึ่งสอดคล้องกับงานวิจัยของนพดล สุคนธวิท (2539 ) ได้วิจัยเรื่องพรรคการเมืองไทยกับการเมืองท้องถิ่น : ผลประโยชน์และฐานอำนาจ ผลการศึกษาพบว่า การเมืองท้องถิ่นถือเป็นแหล่งทรัพยากรทางการเมืองที่สำคัญสำหรับพรรคการเมืองที่จะต้องแสวงหาและครอบครอง เพื่อเข้าสู่อำนาจทางการเมือง อันนำมาซึ่งอิทธิพลและผลประโยชน์
3. วิธีการในการจัดการความขัดแย้งที่คิดว่าเหมาะสมในการแก้ปัญหาความขัดแย้งของการเมืองไทยในปัจจุบันนั้น พบว่าต้องนำวิธีการหลายๆวิธี ออกมาใช้ เพราะทั้งการเจรจา ทั้งการใช้กฎหมาย เช่นการออก พรก ฉุกเฉินของทุกรัฐบาลในขณะนั้น แม้กระทั่งมีผู้ที่พยายามจะไกล่เกลี่ย โดยทำตัวเป็นคนกลางเพื่อประสานความสัมพันธ์ เช่น พลตรีสนั่น ขจรประศาสตร์ ออกมา ไกล่เกลี่ย ปรองดองทางการเมือง แต่ก็ยังไม่เป็นผลสำเร็จ เนื่องจากความขัดแย้งในครั้งนี้เป็นความขัดแย้งที่เกิด ขึ้นในระดับประเทศไม่ไช่เพียงความขัดแย้งของกลุ่มฝ่ายผู้บริหาร และนักการเมืองเท่านั้น แต่ความขัดแย้งได้ลุกลามในทุกๆสังคมของประเทศ แม้แต่ประชาชนเองก็ยังได้แตกออกเป็นฝ่ายต่างๆ ทั้งนี้สอดคล้องกับงานวิจัยของ อัญชลี จุฬาพิมพ์พันธุ์ (2546) เรื่อง การบริหารความขัดแย้งในประเด็นต่างๆ ของชุมชนที่นำไปสู่การพัฒนาความเข้มแข็งของชุมชน ซึ่งพบว่า การบริหารความขัดแย้งผ่านกระบวนการเสียงข้างมาก ( Majority Ruler) เสียงข้างมากเป็นปัจจัยสำคัญของการจัดการกับอำนาจในการบริหารความขัดแย้งด้วยการอ้างอิงผลประโยชน์ของคนกลุ่มใหญ่ ดังนั้น วิธีการจัดการความขัดแย้งที่คิดว่าเหมาะสมในการแก้ปัญหาความขัดแย้งของการเมืองไทย อาจต้องใช้ความหลากหลายทางวิธีการหรือทำการบูรณาการให้เหมาะสมกับสภาวะปัจจุบัน
4. พฤติกรรมในการจัดการความขัดแย้งที่ผ่านมา ทั้ง 5 ด้าน คือ การเอาชนะ (Competition)
การร่วมมือ (Collaboration) การประนีประนอม (Compromising) การหลีกเลี่ยง (Avoiding)
และการยอมให้ (Accommodation) พบว่าส่วนใหญ่ลักษณะพฤติกรรมเป็นรูปแบบการเอาชนะกันของฝ่ายต่างๆ ส่วนรูปแบบการประนีประนอม ไม่สามารถจะนำมาใช้ได้ ในด้านของรูปแบบการยอมให้บ้าง มีในบางกรณีซึ่งเป็นส่วนน้อย จึงส่งผลให้ความขัดแย้งได้ขยายตัวลุกลาม จนกระทั่งถึง พ.ศ. 2553 ก็ยังไม่มีใคร หรือฝ่ายใด ที่สามารถเข้ามาดำเนินการจัดการความขัดแย้งทางการเมืองไทย ให้เกิดผลสำเร็จได้อย่างมีประสิทธิภาพ เนื่องจากผู้ที่เข้ามามีบทบาทในการจัดการความขัดแย้งทางการเมืองในครั้งนี้ เป็นผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องโดยตรงและเป็นคู่กรณีกันเป็นส่วนใหญ่ ทำให้ยากต่อการที่จะดำเนินการใดๆเพื่อยุติความขัดแย้งที่เกิดขึ้นได้ ดังนั้นหากผู้ที่ส่วนเกี่ยวข้องมีท่าทีที่เปลี่ยนไปเป็นการประนีประนอมก็อาจนำไปสู่จุดเริ่มต้นของการทำให้ประเทศกลับเข้าสู่สังคมแห่งความสามัคคีของคนในชาติได้เป็นอย่างดี
5. ปัญหาในด้านความไว้วางใจในตัวบุคคล ส่งผลกระทบมาก ทำให้แต่ละฝ่ายไม่สามารถเจรจากันได้ ความขัดแย้งจึงได้ขยายตัวลุกลาม จนทำให้ไม่สามารถนำวิธีการเดิมที่เคยใช้แก้ไขความขัดแย้งทางการเมืองไทยในอดีตที่ผ่านมา ดังนั้นปัญหาความขัดแย้งจึงยังคงอยู่ ซึ่งในปัจจุบันผู้ที่ดำรงตำแหน่งทางการเมืองหรือไม่ว่าผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการเมืองอย่างใกล้ชิด หรือแม้แต่ประชาชนทั่วไปเองก็ตาม ขาดการไว้วางใจซึ่งกันและกัน เกิดความหวาดระแวงทางการเมือง แบ่งพวกเขา พวกเรา จนทำให้สังคมในปัจจุบัน ไม่สามารถแก้ไขความขัดแย้ง และขาดความเชื่อใจซึ่งกันและกัน ทำให้ประเทศไทย เกิดสภาพสูญญากาศทางความเป็นเอกภาพของความเป็นไทย เพราะทุกวันนี้ ได้มีการแบ่งคนของสังคมเป็นฝ่ายต่างๆ โดยอาจลืมไปได้ว่า ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายใดก็ตามอยู่ภายใต้ไตรรงค์ธงไทยนั้น ก็ล้วนเป็นคนไทยด้วยกันทั้งสิ้น ซึ่งการแก้ปัญหาความไว้วางใจทางการเมืองได้นั้น จะทำให้นำวิธีการแก้ปัญหา ไม่ว่าจะเป็นการเจรจา หรือการไกล่เกลี่ย เป็นไปได้ง่ายขึ้น และมีโอกาสที่สามารถที่จะประสบความสำเร็จได้เป็นอย่างมาก สอดคล้องกับทรงศักดิ์ วุฒิคะ วิจัยเรื่อง ความรับผิดชอบร่วมกันของรัฐมนตรีในทางการเมืองภายใต้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2521 พบว่า ความรับผิดชอบร่วมกันของรัฐมนตรีในทางพฤตินัย จึงหมายถึง ความไว้วางใจที่นายกรัฐมนตรีมอบให้แก่รัฐมนตรีทุกคน แต่ในขณะเดียวกัน นายกรัฐมนตรี ก็ได้รับมอบหมายความไว้วางใจมาอีกทอดหนึ่งจาก 3 สถาบัน คือ คณะทหารในฐานะตัวแทนของระบบราชการ พรรคการเมืองที่เข้าร่วมรัฐบาล และพระมหากษัตริย์ จึงทำให้ความรับผิดชอบร่วมกันของรัฐมนตรีในทางพฤตินัยนี้ เป็นสิ่งกำหนดหลักความรับผิดชอบร่วมกันของรัฐมนตรี ที่ปรากฎในรัฐธรรมนูญอีกขั้นหนึ่ง และ ชิตพล กาญจนกิจ (2545) ที่ได้วิจัยเรื่อง ความไว้วางใจทางการเมืองและการมีส่วนร่วมทางการเมืองในการเมืองท้องถิ่นไทย : ศึกษากรณีองค์การบริหารส่วนตำบล โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อความไว้วางใจทางการเมืองและการมีส่วนร่วมทางการเมืองในระดับการเมืองท้องถิ่นไทย ผลการศึกษาพบว่า ที่ระดับนัยสำคัญ .05 ตัวแปรที่ส่งอิทธิพลทางตรงต่อความไว้วางใจทางการเมือง ได้แก่ ตัวแปรทุนทางสังคม (0.148) และตัวแปรการมีส่วนร่วมทางการเมือง
6. แนวทางในการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งทางการเมืองไทยในปัจจุบัน พบว่า การนำสันติวิธีมาใช้ โดยยึดหลักของ หลักนิติธรรม หลักนิติรัฐ หลักคุณธรรม จริยธรรม และการให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมทางการเมือง ซึ่งทั้งนี้ก็คือแนวทางของหลักประชาธิปไตย ทั้งสิ้น ซึ่งจากงานวิจัยของฐิฏินันท์ ธรรมโชติ (2542) เรื่อง ประมวลจริยธรรมของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองประเทศไทยปกครองในระบอบประชาธิปไตย ได้นำแนวคิดมาตรฐานจริยธรรมของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองของต่างประเทศ และจริยธรรมของวิชาชีพต่างๆ ในประเทศมาศึกษาถึงความเป็นไปได้และความเหมาะสม ในการจัดให้มีประมวลจริยธรรมสำหรับผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง พร้อมทั้งหารูปแบบขององค์กรที่จะเข้ามาควบคุมดูแลผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองให้ปฏิบัติตามประมวลจริยธรรม เพราะถือว่าผู้มีตำแหน่งทางการเมืองต้องเป็นแบบอย่างที่ดีของประชาชนทั้งประเทศ ฉะนั้นควรที่จะเป็นบุคคลที่พร้อมไปด้วยคุณธรรมและจริยธรรม อันจะส่งผลต่อการพัฒนาทางการเมืองและช่วยแก้ไขปัญหาดังกล่าวได้อีกระดับหนึ่ง เพื่อให้สอดคล้องตามเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ
สรุป
สรุปผลการวิจัย ได้ว่า
1. สาเหตุของความขัดแย้งทางการเมืองที่เกิดขึ้น พบว่ามีสาเหตุสำคัญจากการต้องการอำนาจทางการเมืองเพื่อให้ได้มาซึ่งผลประโยชน์โดยเกี่ยวข้องกับเรื่องคอร์รัปชั่นของนักการเมือง มีการทุจริตเพื่อให้บรรลุการเข้าสู่อำนาจและเมื่อมีอำนาจก็นำไปใช้ในทางที่ไม่ถูกต้องในหลายๆกรณี นอกจากนี้ ยังมีสาเหตุของปัญหาความไม่เท่าเทียมในสังคม และประเด็นที่มีความอ่อนไหวทางความรู้สึกของประชาชนคือการนำสถาบันพระมหากษัตริย์เข้ามาเกี่ยวข้องทางการเมือง ซึ่งจากปัญหาเหล่านี้ได้ขยายไปสู่ประเด็นทางการเมืองภาคประชาชนที่ทำให้เกิดความขัดแย้งอย่างรุนแรงในสังคม
2. รูปแบบความขัดแย้งทางการเมืองที่เกิดขึ้นมากที่สุด พบว่า มีในด้านรูปแบบของผลประโยชน์มากที่สุด โดยส่งผลมาจากความขัดแย้งด้านโครงสร้างทางสังคมที่มีความแตกต่างกัน ระหว่างกลุ่มที่เป็นผู้ที่ใช้แรงงาน กลุ่มชนชั้นกลาง และ กลุ่มชนชั้นสูง และในส่วนของด้านค่านิยม ก็เป็นอีกประเด็นหนึ่งซึ่งแต่ละกลุ่มนำมาเป็นชนวนทำให้เกิดความรุนแรงคือ ประเด็นเรื่องสถาบันพระมหากษัตริย์ ส่วนความขัดแย้งในด้านอื่นๆนั้น ยังไม่แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนคือความขัดแย้งในด้านข้อมูลและด้านความสัมพันธ์ เนื่องจากปัญหาด้านความสัมพันธ์อาจแก้ไขได้ง่ายจากการประสานผลประโยชน์ที่ลงตัว
3. วิธีการในการจัดการความขัดแย้งที่คิดว่าเหมาะสมในการแก้ปัญหาความขัดแย้งของการเมืองไทยในปัจจุบัน พบว่า มีการนำวิธีการหลายๆวิธี ออกมาใช้ ทั้งการเจรจา ทั้งการใช้กฎหมาย เช่นการออก พรก ฉุกเฉินของทุกรัฐบาลในขณะนั้น แม้กระทั่งมีผู้ที่พยายามจะไกล่เกลี่ย แต่ก็ยังไม่เป็นผลสำเร็จ
4. พฤติกรรมในการจัดการความขัดแย้งที่ผ่านมา พบว่ามีลักษณะพฤติกรรมเป็นรูปแบบการเอาชนะ กันของฝ่ายต่างๆส่วนรูปแบบการประนีประนอม ไม่สามารถจะนำมาใช้ได้ ในด้านของรูปแบบการยอมให้ บ้างในบางกรณี จึงส่งผลให้ความขัดแย้งจึงได้ขยายตัวลุกลาม จนกระทั่งถึง พ.ศ. 2553 ก็ยังไม่มีใคร หรือฝ่ายใด ที่สามารถเข้ามาดำเนินการจัดการความขัดแย้งทางการเมืองไทย ให้เกิดผลสำเร็จได้อย่างมีประสิทธิภาพ
5. ปัญหาในด้านความไว้วางใจในตัวบุคคล พบว่าส่งผลกระทบมาก ผลกระทบที่ตามมาคือทำให้แต่ละฝ่ายไม่สามารถเจรจากันได้ ความขัดแย้งจึงได้ขยายตัวลุกลาม จนทำให้ไม่สามารถนำวิธีการเดิมที่เคยใช้แก้ไขความขัดแย้งทางการเมืองไทยในอดีตที่ผ่านมา ปัญหาความขัดแย้งจึงยังคงอยู่
6. แนวทางในการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งทางการเมืองในปัจจุบัน พบว่า การนำสันติวิธีมาใช้โดยยึดหลักของนิติธรรมและนิติรัฐ โดยเฉพาะอย่างยิ่งต้องคำนึงถึง หลักความยุติธรรม ความมีคุณธรรม และจริยธรรมของผู้ที่มีอำนาจที่จะดำเนินการแก้ไขด้วย จึงจะทำให้การจัดการความขัดแย้งทางการเมืองไทย ระหว่าง พ.ศ. 2547-2553 ประสบผลสำเร็จได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อสันติภาพที่จะเกิดขึ้นอย่างยั่งยืน
ข้อเสนอแนะในการใช้ประโยชน์จากผลการวิจัย
ข้อค้นพบในการศึกษาวิจัยในครั้งนี้ สามารถนำไปใช้เป็นแนวทางการจัดการความขัดแย้งทางการเมืองไทย ตั้งแต่ พ.ศ. 2547-2553 ได้ดังนี้คือ
1. สาเหตุของความขัดแย้งทางการเมืองที่เกิดขึ้น พบว่ามีสาเหตุสำคัญจากการต้องการอำนาจทางการเมืองเพื่อให้ได้มาซึ่งผลประโยชน์โดยเกี่ยวข้องกับเรื่องคอร์รัปชั่นของนักการเมือง มีการทุจริตเพื่อให้บรรลุการเข้าสู่อำนาจและเมื่อมีอำนาจก็นำไปใช้ในทางที่ไม่ถูกต้องในหลายๆ กรณี ซึ่งจากปัญหาเหล่านี้ได้ขยายไปสู่ประเด็นทางการเมืองภาคประชาชนที่ทำให้เกิดความขัดแย้งอย่างรุนแรงในสังคม ดังนั้นผู้ที่ทำหน้าที่เป็นผู้ปริหารประเทศ ทั้งฝ่ายข้าราชการการเมือง และข้าราชการประจำ ต้องร่วมกันคิดหาวิธีดำเนินการที่ทำให้การทุจริต ทั้งเรื่องของการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร และการทุจริตในระหว่างขณะที่ดำรงตำแหน่งเพื่อให้การปฏิบัติหน้าที่ทางการเมืองของผู้ที่ทีอำนาจมีความชัดเจน โปร่งใส สามารถตรวจสอบได้ โดยอาจต้องนำเทคโนโลยี และนวัตกรรมในการบริหารใหม่ๆ มาใช้ในการบริหารจัดการ โดยต้องมีฝ่ายวิเคราะห์ และทำการวิจัยปัญหารวมถึงการนำผลการวิเคราะห์และวิจัยที่ได้นำไปปฏิบัติจริง ซึ่งอาจจะต้องจัดตั้งหน่วยงานใหม่ขึ้นเพื่อดูแลเฉพาะด้าน โดยที่หน่วยงานใหม่ไม่ได้มีความเกี่ยวข้องหรือขึ้นอยู่ภายใต้อำนาจของหน่วยงานราชการเดิมที่ทำหน้าที่ตัดสิน เช่น ปปช หรือ กระบวนการยุติธรรม เพราะอาจทำให้เกิดปัญหาในเรื่องของบทบาท และหน้าที่ของหน่วยงานนั้นๆขึ้นมาได้
2. รูปแบบความขัดแย้งทางการเมืองที่เกิดขึ้นมากที่สุด พบว่า มีในด้านรูปแบบของผลประโยชน์มากที่สุด โดยส่งผลมาจากความขัดแย้งด้านโครงสร้างทางสังคมที่มีความแตกต่างกัน ระหว่างกลุ่มที่เป็นผู้ที่ใช้แรงงาน กลุ่มชนชั้นกลาง และ กลุ่มชนชั้นสูง และในส่วนของด้านค่านิยม ก็เป็นอีกประเด็นหนึ่งซึ่งแต่ละกลุ่มนำมาเป็นชนวนทำให้เกิดความรุนแรงคือ ประเด็นเรื่องสถาบันพระมหากษัตริย์ ส่วนความขัดแย้งในด้านอื่นๆนั้น ยังไม่แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนคือความขัดแย้งในด้านข้อมูลและด้านความสัมพันธ์ เนื่องจากปัญหาด้านความสัมพันธ์อาจแก้ไขได้ง่ายจากการประสานผลประโยชน์ที่ลงตัว ดังนั้นผู้ที่มีอำนาจฝ่ายรัฐควรให้ความสนใจปัญหาของประชาชนทุกระดับชั้น ตั้งแต่ชนชั้นสูงหรือกล่าวได้ว่าเป็นชนชั้นปกครองซึ่งมีฐานะทางสังคม ร่ำรวย มีมาตรฐานในการใช้ชีวิตระดับสูง หรือคนชั้นกลางซึ่งเป็นผู้ที่เป็นกำลังส่วนใหญ่ในการขับเคลื่อนประเทศ รวมถึงชนชั้นล่างที่เป็นผู้ใช้แรงงานและเกษตรกร หรือที่เรียกตัวเองว่าเป็นชนชั้นรากหญ้า ก็ล้วนมีความสำคัญต่อประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ประเทศไทยยังเป็นประเทศที่มีรายได้จากการส่งออกเกษตรกรรม ดังนั้น ฝ่ายรัฐควรแก้ปัญหาของทุกชนชั้น โดยที่การแก้ปัญหานั้นๆของแต่ละกลุ่มโดยต้องไม่ให้เกิดผลกระทบกันในระหว่างชนชั้นหรืออาจส่งผลกระทบต่อกันน้อยที่สุด ทั้งในด้านปัญหาความยุติธรรม ความเหลื่อมล้ำทางสิทธิอำนาจในการมีส่วนร่วมของการปกครองประเทศ และนอกจากนี้ยังมีปัญหาความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจ ซึ่งปัญหาทุกๆข้อที่กล่าวมา ต้องได้รับการแก้ไขอย่างมีประสิทธิภาพจากรัฐบาล ไม่ว่ารัฐบาลที่มาจากพรรคการเมืองใดก็ตาม นอกจากนี้ในส่วนของด้านค่านิยม ก็เป็นอีกประเด็นหนึ่งซึ่งแต่ละกลุ่มนำมาเป็นชนวนทำให้เกิดความรุนแรงคือ ประเด็นเรื่องสถาบันพระมหากษัตริย์ นั้น รัฐบาลควรแก้ไขโดยการประชาสัมพันธ์ ให้ข้อมูลที่มีความถูกต้อง มีความเที่ยงตรงแก่ประชาชน โดยยึดหลักของความเป็นจริง ซึ่งในส่วนนี้ สื่อมวลชน ควรใช้การสื่อสารที่มีจริยธรรม และมีจรรยาบรรณของวิชาชีพ ไม่นำเสนอโดยใช้อารมณ์ ความรู้สึก หรือการตกอยู่ภายใต้อำนาจของผู้หนึ่งผู้ใดหรือฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด
3. วิธีการในการจัดการความขัดแย้งที่คิดว่าเหมาะสมในการแก้ปัญหาความขัดแย้งของการเมืองไทยในปัจจุบันนั้น พบว่าเนื่องจากมีการนำหลายๆ วิธี ออกมาใช้ ทั้งการเจรจา ทั้งการใช้กฎหมาย เช่นการออก พ รก ฉุกเฉินของทุกรัฐบาลในขณะนั้น แม้กระทั่งมีผู้ที่พยายามจะไกล่เกลี่ย แต่ก็ยังไม่เป็นผลสำเร็จ และไม่สามารถบรรลุวัตถุประสงค์ ที่จะทำให้ความขัดแย้งทางการเมืองของประเทศไทยยุติลง หรือ มีการหันหน้าเข้าหากันเพื่อร่วมมือกันในการบริหารประเทศเพื่อนำไปสู่การพัฒนาประเทศไทยอย่างมีประสิทธิภาพได้ ดังนั้นจึงอาจต้องใช้วิธีการแก้ไขปัญหาอย่างบูรณาการ โดยทำหลายๆวิธี แต่ต้องทำทุกองพคายพของประเทศ โดยใช้วิธีการจัดการความขัดแย้งให้เหมาะสม โดยแยกความขัดแย้งออกเป็นกลุ่มๆ คือ กลุ่มฝ่ายบริหารและกลุ่มประชาชน โดยวิเคราะห์วิธีออกแบบกระบวนการแก้ปัญหาแต่ละกลุ่ม ซึ่งอาจต้องใช้วิธีการที่แตกต่างกันออกไป เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด
4. พฤติกรรมในการจัดการความขัดแย้งที่ผ่านมา พบว่ามีลักษณะพฤติกรรมเป็นรูปแบบการเอาชนะ กันของฝ่ายต่างๆส่วนรูปแบบการประนีประนอม ไม่สามารถจะนำมาใช้ได้ ในด้านของรูปแบบการยอมให้ นั้นมีบ้างในบางกรณี จึงส่งผลให้ความขัดแย้งจึงได้ขยายตัวลุกลาม จนกระทั่งถึง พ.ศ. 2553 ก็ยังไม่มีใคร หรือฝ่ายใด ที่สามารถเข้ามาดำเนินการจัดการความขัดแย้งทางการเมืองไทย ให้เกิดผลสำเร็จได้อย่างมีประสิทธิภาพ ดังนั้นผู้ที่มีอำนาจหน้าที่บริหารรัฐไม่ว่าจะเป็นฝ่ายใดก็ตามควรตระหนักว่า การบังคับเพื่อให้ฝ่ายรัฐได้มาซึ่งชัยชนะในการจัดการความขัดแย้งนั้น ไม่เคยทำได้อย่างประสบความสำเร็จซึ่งตั้งแต่ในอดีตในที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบัน การออกกฎหมายเพื่อการปราบปรามประชาชนนั้น จะเห็นได้ว่ามีแต่ทำให้เกิดความสูญเสีย และนำมาซึ่งความเสียหายต่อประเทศไทยและในสายตาประชาคมโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านของภาพลักษณ์ความเป็นประชาธิปไตย และส่งผลกระทบอย่างรุนแรงในด้านเศรษฐกิจทั้งภายในประเทศและเศรษฐกิจระหว่างประเทศ และประชาชนฝ่ายต่างๆก็ควรเรียนรู้ถึงขอบเขตของการใช้สิทธิในการชุมนุมประท้วงเพื่อเรียกร้องความเป็นธรรมและความยุติธรรมโดยอยู่ในกรอบของกฎหมาย และไม่ควรละเมิดในสิทธิของผู้อื่น จนทำให้เกิดความเดือดร้อนขึ้นในสังคม ซึ่งจะเป็นเหตุให้ฝ่ายรัฐสามารถนำมาเป็นเหตุผลในการใช้ความรุนแรงที่ฝ่ายรัฐ ซึ่งไม่ว่ารัฐบาลที่มาจากฝ่ายใดก็ตาม มองว่าอยู่ในกระบวนการของกฎหมายที่สามารถปฏิบัติได้ จึงนำมาใช้ในการจัดการแก้ไขสถานการณ์ความขัดแย้งที่เกิดขึ้น
5. ปัญหาในด้านความไว้วางใจในตัวบุคคล ส่งผลกระทบมาก ทำให้แต่ละฝ่ายไม่สามารถเจรจากันได้ ความขัดแย้งจึงได้ขยายตัวลุกลาม จนทำให้ไม่สามารถนำวิธีการเดิมที่เคยใช้แก้ไขความขัดแย้งทางการเมืองไทยในอดีตที่ผ่านมา เนื่องมาจากการขาดความเชื่อมั่นในบุคคลที่เป็นกลุ่มนักการเมือง จนทำให้เกิดวิกฤติศรัทธา คือไม่เชื่อว่าจะมีผู้ที่มีความยุติธรรม มีคุณธรรม และจริยธรรม ที่จะเข้ามาร่วมกันช่วยแก้ปัญหาความขัดแย้งที่เกิดขึ้น ด้วยความจริงใจ มีความเป็นกลางและไม่ได้หวังผลประโยชน์จากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง ซึ่งปัญหาในด้านความไว้วางใจนี้ทำให้นักการเมืองและผู้ที่เกี่ยวข้องทุกฝ่ายคงได้ทราบถึงปัญหา และตระหนักได้ว่า ควรต้องปรับปรุงตนเองอย่างไร เพื่อให้บุคลากรที่เกี่ยวข้องกับการเมืองทุกๆฝ่าย สามารถพ้นจากปัญหาวิกฤติศรัทธา และสามารถเรียกความเชื่อมั่นคืนกลับมาให้เกิดความเชื่อถือและไว้วางใจได้
6. แนวทางในการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งทางการเมืองในปัจจุบัน พบว่า การนำสันติวิธีมาใช้ โดยยึดหลักของ นิติธรรม และนิติรัฐ โดยเฉพาะอย่างยิ่งต้องคำนึงถึง หลักความยุติธรรม ความมีคุณธรรม และจริยธรรมของผู้ที่มีอำนาจที่จะดำเนินการแก้ไขด้วยจึงจะทำให้การจัดการความขัดแย้งทางการเมืองไทย ระหว่าง พ.ศ. 2547-2553 ประสบผลสำเร็จได้อย่างมีประสิทธิภาพ ดังนั้นควรเปลี่ยนวิธีการและพฤติกรรมในการจัดการความขัดแย้งทางการเมืองที่ผ่านมา โดยต้องนำกลยุทธ์ และระบบการบริหารจัดการรูปแบบใหม่ๆ มาใช้ในการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งทางการเมืองในครั้งนี้ รวมถึงการนำเทคโนโลยีทางการสื่อสารที่ทันสมัยมาประยุกต์ใช้ให้เหมาะสมอย่างสร้างสรรค์ นอกจากนี้ต้องมีการประชาสัมพันธ์โดยสื่อมวลชนต้องช่วยในด้านของการสื่อสารให้แก่ประชาชน พลเมืองไทยทุกคนเพื่อจะได้มีความรู้และความเข้าใจที่ถูกต้องในเรื่องของความเป็นประชาธิปไตย ทั้งในด้านสิทธิเสรีภาพ โดยเข้าใจขอบเขต สิทธิพลเมือง และบทบาทหน้าที่พลเมืองไทย ดังนั้นจึงต้องมีการปลูกฝังสร้างความรู้ความเข้าใจในเรื่องประชาธิปไตย ในระบบการศึกษาที่ถูกต้องแก่เยาวชนนักเรียน นิสิต นักศึกษาโดยการสนับสนุนจากรัฐบาล และต้องให้ประชาชนทุกๆฝ่าย รวมถึงนักวิชาการ และผู้เชี่ยวชาญด้านความขัดแย้งทางการเมือง และหน่วยงานหลักที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับการจัดการความขัดแย้งคือ กระทรวงกลาโหม กระทรวงมหาดไทย กระทรวงยุติธรรมได้เข้ามามีส่วนร่วมในการแก้ปัญหาความขัดแย้งทางการเมืองที่เกิดขึ้น และที่สำคัญที่สุดในการที่จะทำให้การจัดการความขัดแย้งประสบความสำเร็จได้นั้น คณะผู้ที่จะเข้ามามีบทบาทสำคัญ ในการจัดการความขัดแย้งในครั้งนี้ ต้องเป็นผู้ที่มีความตั้งใจจริงที่เห็นแก่ความสงบสุขของประเทศชาติบ้านเมืองอย่างแท้จริง โดยมิได้หวังอำนาจและผลประโยชน์ส่วนตัวแอบแฝง จึงจะสามารถทำให้การจัดการความขัดแย้งทางการเมืองไทย ระหว่าง พ.ศ. 2547-2553 และในอนาคตภายหน้า ประสบผลสำเร็จได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อสันติภาพที่จะเกิดขึ้นอย่างยั่งยืน
กิตติกรรมประกาศ
งานวิจัยฉบับนี้สำเร็จได้ด้วยความกรุณาอย่างสูงยิ่ง ของผู้ทรงคุณวุฒิทางการเมืองในด้านต่างๆ ผู้ที่เห็นคุณค่าของการจัดการความขัดแย้งของประเทศไทยในสภาวะวิกฤติ ซึ่งนับได้ว่าเป็นการเสียสละอันยิ่งใหญ่ในการให้ข้อมูลอันเป็นประโยชน์อย่างมหาศาล โดยสละเวลาอันมีค่าของท่านในการให้ข้อมูล และแสดงความคิดเห็นอันเป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อประเทศชาติทั้งในปัจจุบันและอนาคตสืบต่อไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งทั้ง 19 ท่าน คือ คุณเกษม วิศวพลานนท์ คุณดุษฎี พนมยงค์ บุญทัศนกุล Mr.Jack Dunford พลเอก ชวลิต ยงใจยุทธ พลเอก สนธิ บุญรัตกลิน คุณสนธิ ลิ้มทองกุล คุณจตุพร พรหมพันธุ์ พลเอก เอกชัย ศรีวิลาส พลตำรวจเอก วิสุทธิ์ กิตติวัฒน์ คุณยุวรัตน์ กมเวชช ศาสตราจารย์ ดร.ลิขิต ธีรเวคิน ศาสตราจารย์ นพ.วันชัย วัฒนศัพท์ ศาสตราจารย์ ดร.ปิยนาถ บุนนาค คุณบุญเลิศ คชายุทธเดช (ช้างใหญ่) คุณวีรบุรุษ อินทรคำแหง คุณชัชวาล ชาติสุทธิชัย ดร.สมัคร เจียมบุรเศรษฐ์ รองศาสตราจารย์ ดร.โภคิน พลกุล และพันเอกดร.อภิวันท์ วิริยะชัย ผู้วิจัยต้องขอกราบขอบพระคุณทุกท่านดังรายนามที่กล่าวข้างต้นเป็นอย่างสูง
ขอขอบพระคุณ รศ.ดร.นิตยา เงินประเสริฐศรี ที่กรุณาให้คำแนะนำ และขอขอบพระคุณ รศ.ดร.ธวัชชัย สุวรรณพานิช ที่กรุณาช่วยตรวจสอบในด้านของกฎหมาย และผศ.ดร.พร้อมพิไล บัวสุวรรณ ผศ.ดร.สุดารัตน์ สารสว่าง ดร.วาสิตา บุญสาธร ที่ให้กำลังใจเสมอมา ดร.ณัฐวีร์ บุนนาคและอาจารย์ศุภนัฐ เพิ่มพูนวิวัฒน์ ที่ตรวจสอบทฤษฎี และขออุทิศคุณประโยชน์ที่เกิดจากงานวิจัยนี้ มอบแด่ ดวงวิญญาณของบรรพบุรุษแห่งแผ่นดินไทย ผู้สร้างชาติบ้านเมือง และวีรบุรุษที่ปกป้องประเทศไทยให้คงไว้ซึ่งเอกราช รวมถึงวีรชนผู้ล่วงลับจากเหตุการณ์ความขัดแย้งทางการเมืองในทุกๆ เหตุการณ์ที่ผ่านมา นอกจากนี้คุณค่า และประโยชน์อันพึงมีซึ่งมาจากงานวิจัยนี้ ขอมอบแด่ผู้มีพระคุณทุกๆ ท่าน รวมถึงประชาชนคนไทยทุกคน ไม่ว่าจะอยู่บนผืนแผ่นดินไทย หรือไม่ว่าจะอยู่บนพื้นแผ่นดินใดในโลกแห่งนี้ก็ตาม
พิชญา สุกใส
พฤศจิกายน 2554
เอกสารอ้างอิง
เกษียร เตชะพีระ. (2550). เราจะฝ่าความขัดแย้งทางการเมืองไปได้อย่างไร. เข้าถึงเมื่อ 1 สิงหาคม 2552 , จากhttp://tuktadevil.multiply.com/journal/item/9,.
ชมพู โกติรัมย์. (2552). ศาสตร์ว่าด้วยการระงับความขัดแย้ง. เข้าถึงเมื่อ 1 สิงหาคม 2552 ,
จาก http://www.thaipost.net/news/060409/2866,.
ชาย โพสิตา. (2550). ศาสตร์และศิลป์แห่งการวิจัยเชิงคุณภาพ. พิมพ์ครั้งที่ 3. กรุงเทพ: ศูนย์หนังสือจุฬาลงกรณ์
มหาวิทยาลัย
ชิตพล กาญจนกิจ. (2545). ความไว้วางใจทางการเมืองและการมีส่วนร่วมทางการเมืองในการเมืองท้องถิ่นไทย: ศึกษา
กรณี องค์การบริหารส่วนตำบล. วิทยานิพนธ์รัฐศาสตรดุษฎีบัณฑิต สาขารัฐศาสตร์, จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.
ฐิฏินันท์ ธรรมโชติ. (2542). ประมวลจริยธรรมของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง.
วิทยานิพนธ์ศิลปศาสตรมหาบัณฑิต สาขารัฐศาสตร์,มหาวิทยาลัยรามคำแหง.
ทรงศักดิ์ ทรงศักดิ์ วุฒิคะโร. (2531). ความรับผิดชอบร่วมกันของรัฐมนตรีในทางการเมืองภายใต้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2521. วิทยานิพนธ์นิติศาสตรมหาบัณฑิต, จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.
นพดล สุคนธวิท. (2539). พรรคการเมืองไทยกับการเมืองท้องถิ่น: ผลประโยชน์และฐานอำนาจ. วิทยานิพนธ์ฃ
รัฐศาสตรมหาบัณฑิต คณะรัฐศาสตร์, จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.
มนตรี แสนสุข. (2550). ปุระชัย เปี่ยมสมบูรณ์. พิมพ์ครั้งที่ 1. กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์ อนิเมทกรุ๊ป
พระไพศาล วิสาโล. (2552). ปัญหาท้าทายและทางออกของสังคมไทย. เข้าถึงเมื่อ 1 สิงหาคม 2552 ,
จาก http://www.prachatai.com/05web/th/home/16508,
พิชาย รัตนดิลก ณ ภูเก็ต. (2552). อนาคตการเมืองไทยท่ามกลางความขัดแย้ง. เข้าถึงเมื่อ 1 สิงหาคม 2552 , จาก
http://www.meeboard.com/view.asp?user=liwliw&groupid=2&rid=31&qid=5,
วันชัย วัฒนศัพท์. (2550). ความขัดแย้ง: หลักการและเครื่องมือแก้ปัญหา. สถาบันพระปกเกล้า. นนทบุรี: สถาบัน
พระปกเกล้า.
สริมศักดิ์ วิศาลาภรณ์. (2540). ความขัดแย้งการบริหารเพื่อความสร้างสรรค์. กรุงเทพมหานคร: บริษัท ต้นอ้อ แกรมมี่ จำกัด.
สำนักระงับข้อพิพาท. (2550). การจัดการความขัดแย้งกับการไกล่เกลี่ยข้อพิพาท. กรุงเทพมหานคร: บริษัท ธนาเพรส จำกัด.
อาริชย์ ทัศน์พันธุ์, พ.ต.ต. 2550. ความขัดแย้งในการปฏิบัติงานระหว่างหน่วยงาน: กรมสอบสวนคดีพิเศษกับสำนักงานตำรวจแห่งชาติ. ดุษฎีนิพนธ์ ปรัชญาดุษฎีบัณฑิต สาขารัฐประศาสนศาสตร์, มหาวิทยาลัยรามคำแหง.
อัญชลี จุฬาพิมพ์พันธุ์. 2546. รายงานการวิจัยเรื่อง การบริหารความขัดแย้งในประเด็นต่าง ๆ
ของชุมชนที่นำไปสู่การพัฒนาความเข็มแข็งของชุมชน. มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์.
. (2552). วิกฤตการณ์การเมืองในประเทศไทย พ.ศ. 2548-2553. เข้าถึงเมื่อ 9 กรกฎาคม 2553 จากhttp://th.wikipedia.org/wiki,
Catherine Morris. (2004). Managing Conflict in Health Care Setting. นนทบุรี: สถาบันพระปกเกล้า.
(สงวนลิขสิทธิ์โดยผู้วิจัย และชมรมการจัดการความขัดแย้งแห่งประเทศไทย)